เมนู

8. นฬกปานสูตร


กุลบุตรผู้มีชื่อเสียงบวช


[195] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าไม้ทองกวาว เขตบ้าน
นฬกปานะ ในโกศลชนบท ก็สมัยนั้น กุลบุตรมีชื่อเสียงมากด้วยกัน คือ
ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระภัททิยะ ท่านพระกิมพิละ ท่านพระภัคคุ
ท่านพระโกณฑัญญะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์
และกุลบุตร
ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตอุทิศเฉพาะพระผู้มี
พระภาคเจ้า ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีหมู่ภิกษุแวดล้อมประทับนั่งอยู่ใน
ที่แจ้ง. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภกุลบุตรทั้งหลาย ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้มีศรัทธาออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิต อุทิศเฉพาะเราเหล่านั้น ยังยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ ภิกษุ
เหล่านั้นได้พากันนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่สอง . . .แม้ครั้งที่สาม. . . พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ทรงปรารภกุลบุตรทั้งหลาย ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรผู้มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อุทิศเฉพาะเราเหล่านั้น ยัง
ยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นก็ได้พากันนิ่งอยู่.
[196] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า
อย่ากระนั้นเลย เราพึงถามกุลบุตรเหล่านั้นเองเถิด ครั้นแล้วได้ตรัสเรียกท่าน
พระอนุรุทธะมาว่า ดูก่อนอนุรุทธะ ภัททิยะ กิมพิละ ภัคคุ โกณฑัญญะ
เรวตะ และอานนท์ เธอทั้งหลายยังยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ.

ท่านพระอนุรุทธะเป็นต้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระ-
องค์ทั้งหลายยังยินดีในการพระพฤติพรหมจรรย์.
ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ดีละ ๆ ข้อที่เธอทั้งหลายยินดีในการประพฤติ
พรหมจรรย์นี้แล เป็นการสมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตรออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา เธอทั้งหลายประกอบด้วยปฐมวัย กำลังเจริญ
เป็นหนุ่มแน่น ผมดำสนิท ควรบริโภคกาม ยังออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ได้ ก็เธอทั้งหลายนั้น มิใช่ผู้ทำความผิดต่อพระราชา มิใช่ผู้ถูกโจรคอยตาม
จับ มิใช่ผู้อันหนี้บีบคั้น มิใช่ผู้เดือดร้อนเพราะภัย และมิใช่ผู้ถูกอาชีพบีบคั้น
แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เธอทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตเพราะศรัทธา ด้วยความคิดอย่างนี้ว่า เออ ก็เราเป็นผู้อันชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครองงำแล้ว เป็นผู้อัน
ทุกข์ครอบงำแล้ว เป็นผู้อันทุกข์ท่วมทับแล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกอง
ทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏได้ ดังนี้ มิใช่หรือ.
อย่างนี้ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ก็กิจอะไรเล่า ที่กุลบุตรผู้บวชอย่างนี้แล้ว
พึ่งทำ ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย บุคคลยังไม่เป็นผู้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรม บรรลุปีติและสุข หรือสุขอื่นที่สงบกว่านั้น แม้อภิชฌา พยาบาท
ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา อุทธัจจกุกกุจจะ อรติ ความเป็นผู้เกียจคร้าน ย่อม
ครอบงำจิตของบุคคลนั้นตั้งอยู่ได้ บุคคลนั้นก็หาสงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรม บรรลุปีติและสุขหรือสุขอื่นที่สงบกว่านั้นไม่ ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย
บุคคลใดเป็นผู้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปีติและสุข หรือสุข
อื่นที่สงบกว่านั้นได้ แม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา อุทธัจจกุกกุจจะ

อรติ แม้ความเป็นผู้เกียจคร้าน ก็ไม่ครอบงำจิตของบุคคลนั้น ทั้งอยู่ได้ บุคคล
นั้นก็สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปีติและสุข หรือสุขอื่นที่สงบ
กว่านั้นได้.

ว่าด้วยอาสวะ


[197] ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะว่ากระไรในเราว่า
อาสวะเหล่าใด นำมาซึ่งความเศร้าหมอง นำมาซึ่งภพใหม่ เป็นไปกับด้วย
ความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งความเกิดความแก่และ
ความตายต่อไป อาสวะเหล่านั้น ตถาคตยังละไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ตถาคต
พิจารณาแล้วจึงเสพของบางอย่าง พิจารณาแล้วจึงอดกลั้นของบางอย่าง
พิจารณาแล้วจึงเว้นของบางอย่าง พิจารณาแล้วจึงบรรเทาของบางอย่าง.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้ว่าอะไรในพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอย่างนี้ว่า อาสวะเหล่าใด อันนำมาซึ่งความเศร้าหมอง นำมาซึ่งภพ
ใหม่ เป็นไปกับด้วยความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งความ
เกิด ความแก่ และความตายต่อไป อาสวะเหล่านั้น พระตถาคตยังละไม่ได้
เพราะเหตุนั้น พระตถาคตพิจารณาแล้วจึงเสพของบางอย่าง พิจารณาแล้วจึง
อดกลั้นของบางอย่าง พิจารณาแล้วจึงเว้นของบางอย่าง พิจารณาแล้วจึงบรรเทา
ของบางอย่าง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กล่าวในพระผู้มี-
พระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า อาสวะเหล่าใด นำมาซึ่งความเศร้าหมอง นำมาซึ่งภพ
ใหม่ เป็นไปกับด้วยความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเกิด ความแก่ และความตายต่อไป อาสวะเหล่านั้น พระตถาคตละได้
แล้ว เพราะเหตุนั้น พระตถาคตพิจารณาแล้วจึงเสพของบางอย่าง พิจารณา